วัฒนธรรมการกิน แหล่งที่มาของอาหารการกิน
ชาวผู้ไทยเป็นคนที่พิถีพิถันในเรื่องการเลือกทำเลที่จะตั้งหมู่บ้านจะต้องเป็นที่ราบใกล้ภูเขาหรือแหล่งน้ำ ในอดีตแหล่งอาหารก็ใกล้บ้านนั่นเอง พวกสัตว์บกสัตว์น้ำ
เก้ง หมูป่า กระรอก กระแต มีให้เห็นอยู่ทุกวัน หาได้ง่าย และมีกินบ่อย พืชผักต่างๆ
ก็มีมาก ทั้งพืชบ้าน พืชสวน พืชป่า ดังมีผญาคำสอนบทหนึ่งว่า “อย่าไป๋เก็บดอกหว่านบ้านเพิ๋นมาบ๋าน
เฮ่อเจ้ายื๋นงอยชานเก็บดอกกะเจ๋วฮิมโฮ้” (อย่าไปเก็บดอกหว่านบ้านอื่นมาบ้าน
ให้เจ้ายืนที่ชานเก็บดอกกระเจียวริมรั้ว) ชี้ให้เห็นว่าสมัยก่อนดอกกระเจียวก็เก็บเอาที่ริมรั้วติดกับชานบ้าน
แสดงว่าอุดมสมบูรณ์มากจริงๆ
อาหารจำพวกเนื้อสมัยอดีตไม่ค่อยได้กิน หมู เป็ด
ไก่ วัว ควาย มีมากมาย แต่ไม่มีใครฆ่ากิน
อาจจะเป็นเพราะเคร่งศีลธรรมก็ได้นานๆ ที เช่น มีงานบุญ บุญกฐิน บุญพระเวส
ฆ่าทีหนึ่ง ผู้ที่ฆ่าขายก็หายากเต็มที ฆ่าแล้วก็ไม่ค่อยมีผู้ซื้อ สมัย ๔๐
ปีมาแล้วเนื้อวัวควายราคาถูกมาก ซื้อ ๑๐ บาทได้เนื้อ ๑ หาบ หมูโตเต็มที่ตัวละ ๒๐๐
บาท ไก่ตัวใหญ่ตัวละ ๕ บาท
ในสมัยปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปมากผู้คนมากขึ้นของกินก็หายากระบบการซื้อขายเข้ามา
ผู้คนจึงหาซื้อกันที่ตลาดเป็นส่วนมาก
อุปนิสัยในการกิน ชาวผู้ไทยมีอุปนิสัยในการกินแบบเรียบง่าย และในการกินอาหารก็เหมือนอีสานทั่วๆ
ไป คือ กินข้าวเหนียว นั่งกินกับพื้น ไม่มีช้อนกลาง
ช้อน ๒-๓ คัน เปลี่ยนกันซด บางครอบครัวก็กินในห้องครัว
บางครอบครัวก็กินที่ระเบียงหน้าบ้าน ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง
บางครอบครัวที่มีฐานะดีหน่อยก็มีโต๊ะอาหาร ( บางทีกินข้าวเจ้า) คือ
พยายามปรับตัวเหมือนกับคนภาคกลาง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น