ที่อยู่อาศัย สภาพบ้านเรือนของชาวผู้ไทยในอดีตสมัย 40 ปี มาแล้วเป็นเรือนทรงมนิลา คือ มีหลังคาทรงเหลี่ยมยอดแหลมดั้งสูง ใต้ชานสูงประมาณ 2 เมตร มีฝาล้อมรอบ มีประตูหน้าบ้านเข้า 2 ประตู มีหน้าต่างแห่งเดียวเล็กๆ พอเอาศีรษะลอดเข้าออกได้ ภาษาผู้ไทยเรียกว่า"ประตูบอง" ถ้าเป็นบ้านของผู้มีฐานะหน่อยหน้าต่างจะสูงเท่าประตู ตรงหน้าต่างจะมี "เสาปากช้าง" หรือ "เสาคาช้าง" ค้ำทอดบ้านตรงหน้าต่าง ภาษาภูไทเรียก "หอนทอด" จะตีติดเคร่า เสาคางช้าง หรือ ปากช้างจะปาดเป็นบ่าค้ำทอดไว้
จะเป็นเสาใหญ่กว่าเสาบ้านทุกต้น เป็นเสาโชว์พิเศษสลักเสาลวดลาย
ปลายเสาจะปาดเป็นรูปกลีบบัว หรือ กาบพรหมศร
ชาวภูไทในอดีตอาจจะเห็นเป็นรูปคล้ายปากช้าง
หรือคางช้าง ก็เลยเรียกเสาคางช้าง หรือเสาปากช้าง มีระเบียงยื่นออกมาด้านหน้า ภาษาภูไทเรียกว่า "เก๋ย" หลังคาระเบียงถ้าต่อจากหลังคาเรือนใหญ่ลาดลงมาเรียกว่า "หลังคากะเทิบ" ถ้าหลังยกเป็นหน้าจั่วยอดแหลมเหมือนเรือนใหญ่จะเรียก "หลังคาโหลอย" (หลังคาหัวลอย)
เรียกทั้งตัวบ้านว่า "เฮินโหลอย" (เรือนหัวลอย) ระหว่างหลังคาเรือนใหญ่และหลังคาหัวลอยจะมีรางน้ำ ซึ่งเจาะต้นไม้ทั้งลำแบบหลัง คากะเทิบจะเป็นบ้านของผู้ที่มีฐานะไม่คอยดี
บ้านหลังคาหัวลอย หรือเรือนหัวลอยจะเป็นบ้านของผู้ที่มีฐานะดี
นอกจากนั้นก็ดูที่ฝาและหลังคา ถ้าฝาและหลังคาเป็นกระดานแสดงว่ามีฐานะดี
ถ้าหลังคามุงด้วยหญ้า ฝาเป็นฝาขัดแตะแสดงว่าฐานะไม่ดี
"เฮินซู" (เรือนสู่)
เป็นบ้านอีกรูปทรงหนึ่งซึ่งสร้างแบบง่ายๆ "เสาไม้เมาะ
แตะไม้ลื่ม" (เสาไม้มอก ตอกไม้ลิ่ม-มอก คือ กระพี้ , ไม้ลื่ม คือ ไม้ไผ่ที่ยังไม่แก่)
เสาทำด้วยต้นไม้เนื้อแข็งที่ต้นยังเล็กอยู่ ขนาดพอดีเป็นเสา โดยไม่ต้องถากเพียงแต่ปอกเปลือก (เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10 ซม.)
ตัดหัวท้ายยาวตามขนาดที่ต้องการ การเข้าไม้ประกอบเป็นตัวบ้านไม่ใช้ตะปู
(เพราะในอดีตไม่มีตะปู) จะใช้ "เคออู้ย"(เครืออู้ย–เถาวัลย์ชนิดหนึ่งเหนียวมาก) และ "เตาะไม้ลื่ม" คือเอาไม้ไผ่ที่ยังไม่แก่อายุประมาณ
๑๐-๑๒ เดือน มาจักเป็นตอกมัด ตอกไม้ลื่มจะเหนียวไม่เปราะเหมือนตอกไม้แก่ (ไม้แก่
ภูไทว่า ไม้กล้า)
ตัวไม้ทำโครงบ้านก็เหมือนบ้านโบราณดั้งเดิมทั่วไป
คือ หลังคามุงหญ้าคา ฝาเป็น "ฝาพะล่าน" ไม่มีเกย ไม่มีชาย ไม่มีเรือนครัว เฮินซู
เป็นบ้านที่เขยมาสร้างไว้ก่อนแต่งงาน สร้างให้เฉพาะลูกเขยที่จะมา "ซูพ่อเฒ่า" (สู่พ่อตา) คือ
ลูกเขยที่แต่งงานแล้วขออาศัยอยู่กับพ่อตาชั่วคราว เมื่อพอเลี้ยงตัวได้แล้ว
หรือบางทีอยู่ 2-3 ปีก็ขยับขยายไปสร้างบ้านใหม่ในที่อื่น บางทีพ่อตากลัวลูกสาวลำบาก ลูกเขยสร้างบ้านใหม่ก็ให้สร้างบริเวณที่ดินพ่อตาเลย
กล่าวถึงการสร้างเฮินซูนั้น เมื่อหาวัสดุพร้อมแล้ว ก็จะวานเพื่อนบ้านมาช่วยกันคนละไม้คนละมือ ให้เสร็จภายในวันเดียว ปัจจุบันไม่มีการตั้งเฮินซูแล้ว ประการแรกเพราะเขยก็จะอยู่ร่วมบ้านเดียวกับพ่อตา โดยยกห้องใดห้องหนึ่งให้
ประการที่สองไม่ค่อยมีการซูพ่อเฒ่า ในปัจจุบันนี้บ้านรูปทรงดังกล่าวนี้หายากแล้ว เพราะผู้ที่สร้างบ้านใหม่ก็จะสร้างตามสมัยนิยมกันหมด
ประโยชน์ใช้สอยบ้าน บ้านชาวภูไทเมื่อสมัย 40 ปีมาแล้วแบ่งประโยชน์ใช้สอย ดังนี้
ห้องใน เรียกว่า "โก๋ง" ภายใน "โก๋ง" จะกั้นเป็นห้องนอนอีก มี 1 ประตู ภูไทเรียกว่า "โก๋ง โส้ม" สำหรับเป็นที่นอนของลูกสาว
บางบ้านภายใน "โก๋งโส้ม" อาจจะกั้นห้องหรือเอาตู้ กั้นให้เป็นที่นอนของพ่อแม่ด้วย ข้างโก๋งโส้มอาจจะทางซ้ายหรือขวาเรียกว่า "ฮอง"เป็นที่นอนของพ่อแม่หรือลูกชาย
ห้องนอกหรือเกย ภาษาผู้ไทยว่า "เก๋ย" ไม่มีฝา มีแต่หลังคาเป็นที่นั่งเล่น เป็นที่รับแขก เป็นที่รับประทานอาหาร
หรือกั้นเป็นห้องให้ลูกเขยอยู่
"เฮินไฟ" (เรือนครัว) จะตั้งต่อจากเกยออกไป บางหลังคาเรือนอาจจะตั้งแยกออกไป มีเพียงกระดาน 1-2 แผ่นพาดเชื่อมกับเกย เนื้อที่ภายใน "เฮินไฟ" นั้นมีเตาไฟ มีลักษณะเป็นกระบะยกพื้นสูง สูงขึ้นจากพื้นเรือนครัวประมาณ 5-10
ซม. กว้าง 1x1 เมตร ขอบกระบะสูงประมาณ 1
คืบ ใส่ดินให้เต็มเพื่อป้องกันไฟไหม้พื้น
ที่ก่อไฟนั้นอยู่กลางล้อมด้วยก้อนเส้า 3 ก้อน
เป็นที่วางหม้อหรือบางทีใช้ "เคง" (เคียง) คือ ที่วางหม้อเวลาต้มแกง เป็นที่วางที่เป็นเหล็กมี 3 ขา ด้านบนขาจะเชื่อมติดกับแผ่นเหล็กบาง
งอเป็นรูปวงกลมเป็นที่สำหรับรับก้นหม้อ รอบตามฝาเรือนครัวจะวางสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ เช่น กระติบข้าว ตะกร้า ไหปลาร้า ไหเกลือ เป็นต้น
เหนือเตาไฟจะมีห้างสูงระดับหน้าผาก มีไว้สำหรับห้อยเนื้อที่จะทำเนื้อแห้ง ห้อยข้อง
ตะกร้าที่เพิ่งสานใหม่ๆ เพื่อป้องกันแมลงกินไม้ เช่น มอด มิให้มากินข้อง ตะกร้า
ฯลฯ เหล่านี้
ชาน (ซาน) เป็นพื้นที่ต่อกับเกยหรือเรือนครัว สำหรับวางตุ่มน้ำดื่ม น้ำอาบ
น้ำใช้ ริมชานมัก จะวางรางผัก ไม่มีหลังคาไม่มีฝา
พื้นชานจะต่ำกว่าเกยหรือเรือนครัว มีบันไดเรียกว่า "ขั้นบันได๋ซาน"
การใช้บริเวณบ้าน
อดีตเมื่อ 40 ปีมาแล้วการใช้บริเวณบ้านของชาวภูไท
พอกล่าวได้ดังนี้
1.ใต้ถุนบ้านจะเป็นที่ผูกควาย คือ ทำเป็นคอกควาย โดยตีไม้ล้อมรอบ มีประตูซัด
เอาเสาบ้านเป็นเสาคอกและมีเสาเสริมอีกเพื่อให้แข็งแรง
บางคนที่ไม่ชอบผูกวัวควายไว้ใต้ถุนบ้าน ก็ออกผูกนอกใต้ถุนข้างๆ บ้าน เรียกว่า
"แลงควาย" (แหล่งควาย) หรือ "แลงโง " (แหล่งวัว)
2.ด้านหลังบ้าน หรือด้านข้างจะสร้าง "เล้าข้าว" (ยุ้งข้าว)
ใต้ยุ้งข้าวจะทำเล้าไก่หรือเล้าหมู
3.หน้าบ้าน ปล่อยโล่งไว้นั่งผิงแดดเรียกกว่า "ลานหน้าบ้าน"
มีปลูกไม้ยืนต้นบ้างพอเป็นร่ม
ความเชื่อเกี่ยวกับบ้าน
ในอดีตชาวผู้ไทยยังคงมีความเชื่อเกี่ยวกับบ้าน ดังนี้
1.เกี่ยวกับไม้ที่จะนำมาสร้างบ้านนั้น
จะห้ามเอาไม้ดังต่อไปนี้มาสร้างบ้าน เช่น ไม้ฟ้าผ่า
ผู้ไทยเชื่อว่าไม้ที่ถูกฟ้าผ่านั้นเพราะ "มันเข็ด
มันขวง" (มัน อัปรีย์ จัญไร) ไม้แยงเงา
(ไม้ส่องเงา) คือ ต้นไม้ ที่อยู่ริมห้วย ลำต้นเอนเข้าหาลำห้วย (อาจจะเป็นเพราะโค่นยาก ปล้ำยาก อันตราย) ไม้ที่ชื่อไม่เป็นมงคล เช่น ไม้กระบก คำว่า "บก" คือ บกพร่องหรือขาด
นำมาสร้างบ้านจะทำให้สร้างไม่ขึ้น ขาดเขินอยู่เป็นประจำ
2.เกี่ยวกับการใช้บ้าน
ห้ามวางพาข้าวหรือนอนใต้ขื่อ (ยังหาคำอธิบายไม่ได้) ศพจะวางไว้ใต้ขื่อ
อันนี้คิดว่าตรงใต้ขื่อมันจะตรงกับคานของบ้านพอดี ซึ่งจะรับน้ำหนักของหีบศพได้ดีกว่าบริเวณอื่น ส่วนประกอบ เช่น บันได
จำนวนขั้นบันไดจะเป็นจำนวนคี่ เช่น 5 ขั้น 7 ขั้น 9 ขั้น เป็นต้น