วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2558

   เส้นทางอพยพของชาวผู้ไทย

   เส้นทางอพยพของชาวผู้ไทย แบ่งเป็น 3 ลักษณะ คือ
    1.       เส้นทางเมืองเว้ หรือเรณู คำชะอี หนองสูง
    2.       เส้นทางที่ต่อจากเรณูแต่เลยไปทางตะวันตก ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่สหัสขันธ์ และอำเภอเขาวงกาฬสินธุ์ในปัจจุบัน
    3.       ยังไม่สันนิษฐานได้ว่าแยกมาจากเส้นทางที่ 1 หรือเส้นทางที่ 2 แต่มาตั้งที่วาริชภูมิ เมืองจำปา (บ้านนาเหมือง อำเภอพังโคน) บ้านม่วงโพนไค (อ.บ้านม่วง สกลนคร)
        ความเชื่อทางศาสนาของชาวผู้ไทย เป็นความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งเหนือธรรมชาติ เช่น เชื่อภูตผีวิญญาณที่ทำให้ป่วยไข้ เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ เชื่อหลักพุทธศาสนา เช่น การทำบุญตักบาตร ความเชื่อคติพราหมณ์แบบชาวบ้าน
      พิธีกรรมกับศาสนาของชาวผู้ไทย ความแตกต่างของพิธีกรรมขึ้นอยู่กับประเภทของผีแต่ละชนิด ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประเภท
    1.       ผีฟ้าหรือเทวดา
    2.       ผีเจ้าหรือเจ้าผี
    3.       ผีเลวหรือผีสัญญา เช่น ผีบรรพบุรุษหรือผีปู่ตา ผีตระกูล ผีเรือน
       ความเชื่อเรื่องผีมเหสักข์ของชาวผู้ไทย พรรณานิคม เรียกผีเจ้าปู่ บางคนเรียกเจ้าหาญแดงจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในวันขึ้น 19 ค่ำ เดือน 4 โดยนำข้าวปลาอาหาร ซึ่งนิยมอาหารคาวเลือด ชาวบ้านจึงนำควายไปฆ่าที่ป่าหน้าศาล แล้วทำลาบพร้อมใส่เลือดสด ๆ ผสมคลุกข้าว จัด 8 สำรับ ไปถวาย และขาดไม่ได้คือเหล้า โดยมีผู้ทำพิธีกรรมที่เริ่มด้วยพิธีกร คือ จ้ำ หรือกวานจ้ำ
       ความเชื่อเรื่องผีนา คือ ผีที่อยู่ตามทุ่งนาเพื่อคุ้มครอง จะเริ่มทำพิธีกรรมนี้ในต้นฤดูฝนก่อนการไถคราด พิธีบูชาทำง่าย ๆ คือ นำข้าวปลาอาหารใส่กระทง รวมทั้งดอกไม้ ธูปเทียน พิธีนี้เรียกว่า เลี้ยงผีตาแฮก หรือเลี้ยงผีครั้งแรก


    ความเชื่อเรื่องผีเรือน คือ ผีของบรรพบุรุษ ผีลูกหลานที่เคยอยู่ในบ้านเรือนหรือไม่ได้อยู่บ้านเรือน ที่ล่วงลับไปแล้ว ดังนั้นผีเรือนจึงมีหลายตน เช่น ผีอารักษ์ใหญ่ หรือผีเจ้าที่เจ้าทาง ผีปู่หรือผีตระกูล เป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดเจ้าของบ้านมากที่สุด และเป็นใหญ่อยู่ในบ้านเรือน ความเจ็บป่วยและการรักษาพยาบาล ความเชื่อทางไสยศาสตร์ เซอร์ เจมส์ เฟรเซอร์ เป็นคนแรกที่ศึกษาเรื่องไสยศาสตร์กับการรักษาคนไข้ วิธีการรักษาจะต้องแก้ด้วยผู้มีอำนาจเหนือธรรมชาติจะเกิดจากผู้ที่ใช้ คือ หมอผี ไม่ใช่รักษาด้วยสมุนไพร หรือยาตำราหลวง และยังมีความเชื่อที่ว่าอาจจะเกิดการจากผู้ที่ใช้คาถาอาคม

วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2558

ประวัติความเป็นมาของบุญบั้งไฟ


       ประเพณีบุญบั้งไฟ เป็นประเพณีหนึ่งของภาคอีสานของไทยรวมไปถึงลาว โดยมีตำนานมาจากนิทานพื้นบ้านของภาคอีสานเรื่องพระยาคันคาก เรื่องผาแดงนางไอ่ ซึ่งในนิทางพื้นบ้านดังกล่าวได้กล่าวถึง การที่ชาวบ้านได้จัดงานบุญบั้งไฟขึ้นเพื่อเป็นการบูชา พระยาแถน หรือเทพวัสสกาลเทพบุตร ซึ่ง ชาวบ้านมีความเชื่อว่า พระยาแถนมีหน้าที่คอยดูแลให้ฝนตกถูกต้องตามฤดูกาล และมีความชื่นชอบไฟเป็นอย่างมาก หากหมู่บ้านใดไม่จัดทำการจัดงานบุญบั้งไฟบูชา ฝนก็จะไม่ตกถูกต้องตามฤดูกาล อาจก่อให้เกิดภัยพิบัติกับหมู่บ้านได้ ช่วงเวลาของประเพณีบุญบั้งไฟคือเดือนหกหรือพฤษภาคมของทุกปี

       ประเพณีบุญบั้งไฟมีมาแต่ครั้งไหนยังหาหลักฐานที่แน่ชัด มีข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับความเป็นมาของประเพณีบุญบั้งไฟในแง่ต่างๆ ไว้ดังนี้

ความเชื่อของชาวบ้านกับประเพณีบุญบั้งไฟ
        ชาวบ้านเชื่อว่ามีโลกมนุษย์ โลกเทวดา และโลกเทวดา มนุษย์อยู่ใต้อิทธิพลของเทวดา การรำผีฟ้าเป็นตัวอย่างที่แสดงออกทางด้านการนับถือเทวดา และเรียกเทวดาว่า แถนเมื่อถือว่ามีแถนก็ถือว่า ฝน ฟ้า ลม เป็นอิทธิพลของแถน หากทำให้แถนโปรดปราน มนุษย์ก็จะมีความสุข ดังนั้นจึงมีพิธีบูชาแถน การจุดบั้งไฟก็อาจเป็นอีกวิธีหนึ่งที่แสดงความเคารพหรือส่งสัญญาณความภักดีไปยังแถน ชาวอีสานจำนวนมากเชื่อว่าการจุดบั้งไฟเป็นการขอฝนจากพญาแถน และมีนิทานปรัมปราเช่นนี้อยู่ทั่วไป แต่ความเชื่อนี้ยังไม่พบหลักฐานที่แน่นอน นอกจากนี้ในวรรณกรรมอีสานยังมีความเชื่ออย่างหนึ่งคือ เรื่องพญาคันคาก หรือคางคก พญาคันคากได้รบกับพญาแถนจนชนะแล้วให้พญาแถนบันดาลฝนลงมาตกยังโลกมนุษย์


วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2558

ฟ้อนละคอน

          ชาวภูไทบ้านโพน มีศิลปะการฟ้อนรำที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะในแบบชาวบ้านดั้งเดิม และมีการสืบทอด จนเกิดเป็นพัฒนาการมาจนถึงปัจจุบันอยู่ 2 ชุดด้วยกัน คือ ฟ้อนละคอนภูไท และฟ้อนภูไท ศิลปะการฟ้อนทั้ง 2 ชุด เป็นการฟ้อนที่เกิดขึ้นในชุมชนบ้านโพน และปัจจุบันยังมีการอนุรักษ์การฟ้อนอย่างต่อเนื่อง โดยมีการฟ้อนในงานบุญบั้งไฟ หรืองานพิธีการที่สำคัญ ซึ่งมีบทบาทในการสร้างชื่อเสียงให้กับชุมชน และสังคมเป็นอย่างมาก

         ฟ้อนละคอน(ละคร)
         ฟ้อนละคอน(ละคร)ภูไทบ้านโพน มีลักษณะการฟ้อนที่แตกต่างจากฟ้อนละครของชาวภูไทในถิ่นอื่นๆ เนื่องจากเป็นการฟ้อนในรูปแบบขบวนและเดินฟ้อนไปเรื่อยๆ ที่มีการสวมเล็บแบบฟ้อนกลองตุ้มหรือเซิ้งบั้งไฟ ซึ่งฟ้อนละคอนของชาวภูไทในถิ่นอื่นๆ จะฟ้อนโดยไม่สวมเล็บ และเป็นการฟ้อนเป็นวงไม่ขยับหรือเคลื่อนวงออกไปไหน เป็นการวาดลีลาการฟ้อนของชายหนุ่มเป็นสำคัญ

   ท่าฟ้อนมีแบบแผนที่ชัดเจน ซึ่งมี 5 ท่าประกอบด้วย
ท่าเดิน
ท่าฟ้อนข้าง
ท่าไกวมือสูง
ท่าหมุนตัว

ท่าลง

เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดง
           1.ฉาบเล็ก         2.โปงลาง                 3.พิณอีสาน    
           4.แคน              5.โหวด                    6.เบส              
           7.กลองตุ้ม       8.กลองยาวอีสาน     9.เกราะ

วันอังคารที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2558

ข้าวฮาง


ข้าวฮางเป็นข้าวที่ทำมาจากข้าวที่ยังไม่แก่จัดนำมานึ่งและนำไปตากแดดให้แห้งแล้วจึงนำไปสี


          หากจะพูดถึง 'ข้าวฮาง' บางคนอาจจะส่ายหัวไม่รู้จัก หากพูดว่า'ข้าวหอมทอง' หลายคนพอได้ยินคงนึกหิวขึ้นมาทันใด ข้าวฮางเขามีกรรมวิธีการผลิตที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย น่าสนใจเพียงไร อรการ กาคำ ลงพื้นที่บ้านนาบ่อ ทำความรู้จักกับข้าวฮางภูมิปัญญาชาวภูไทกระป๋อง กลิ่นหอมตลบอบอวลของข้าวหอมทอง หรือข้าวฮางของชาวภูไทกระป๋อง ฟุ้งกระจายทั่วบริเวณศูนย์ทำการของกลุ่มแม่บ้าน บ้านนาบ่อ ทั้งที่ยังไม่ทันได้ก้าวเดินผ่านธรณีประตูด้วยซ้ำ นับว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีโอกาสได้สัมผัสกับข้าวหอมทองใกล้ๆ หลังจากได้ยินชื่อมานาน ภาพที่เห็นเบื้องหน้า กลุ่มแม่บ้านขะมักเขม้นกับการหุงข้าวเปลือก จากเตาที่มีแกลบเป็นเชื้อเพลิง ควันโขมง บ้างก็กำลังคัดเมล็ดข้าวเพื่อกรองครั้งสุดท้ายก่อนนำไปบรรจุถุง หรือขวดเพื่อเตรียมจำหน่าย แม่เฒ่าคนหนึ่งนั่งจี่ข้าวฮาง หอมฉุยจนเราต้องขอมาหม่ำสักก้อนสองก้อน ก่อนจะเข้าไปเปิบแกงหวายที่ชาวภูไทบ้านนาบ่อ เตรียมไว้รอผู้มาเยือนอย่างเรา พร้อมทั้งหุงข้าวฮางเม็ดอ้วนๆ เต็มกระติ๊บใบยักษ์ เปิบไปสัมภาษณ์กันไปได้บรรยากาศเป็นยิ่งนัก ตำนานเก่าแก่ตำรับภูไทเล่าขานกันมาว่า 200 ปีที่แล้ว ท้าวผาอิน จะอพยพมาอยู่บ้านนาบ่อ ท่านมีลูกหลายคน ก็มาเลี้ยงวัวเลี้ยงควายทำไร่ทำนา ข้าวไม่พอกิน เหลือเวลาอีกตั้งหนึ่งเดือนก่อนถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยว ก็เลยเกี่ยวข้าวที่ใกล้จะสุกมาหมักแล้วกลายเป็นต้นตำรับของ 'ข้าวฮาง'นับแต่นั้น ท้าวผาอินมีข้าวนึ่งให้ลูกกิน วิธีนี้ทำให้ข้าวสาร 12 กิโล สีแล้วได้ข้าว 8 กิโลกรัม หุงขึ้นหม้อ ได้ปริมาณเยอะขึ้นอีกต่างหาก ปกติแล้วข้าว 12 กิโลกรัม เมื่อสีแล้วจะเหลือ 7 กิโลกรัม เท่านั้น หุงขึ้นหม้อแต่ไม่เท่ากับข้าวฮางขึ้นหม้อและนุ่มอร่อยลิ้นกว่า กรรมวิธีการทำข้าวฮาง ก็คือเขาจะนำข้าวหอมทองมะลิ 

วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2558

รำภูไท 3 เผ่า

เผ่าที่ 1 (เผ่าสกลนคร)
ไปเย้อไปไปโห่เอาชัยเอ้าสอง(ซ้ำ) ไปโฮมพี่โฮมน้องไปช่วยแซ่ซ้องอวยชัย 
เชิงเขาแสนจนหนทางก็ลำบาก(ซ้ำ) ตัวข้อยสู้ทนยากมาฟ้อนรำให้ท่านชม 

เผ่าที่ 2 (เผ่ากาฬสินธุ์)
โอ้ยน้อ ละบ่าวภูไทเอย ชายเอยอ้ายได้ยินบ่อเสียงน้อง 
คองน้ำตาเอ้นมาใส่ สาวภูไทไห้สะอื้น 
มายืนเอิ้นใส่พี่ชายอ้ายเอ้ย... อ้ายเอย 
ชายเอยเห็นว่าสาวภูไทน้อง อยู่บ้านป่านาดอน 
หากินหมูกินแลน หมู่กระแตดอกเหนอ้ม 
ซางมาตั๋วให้นางล้ม โคมหนามแล้วถิ่มปล่อย 
ทำสัญญากันเรียบร้อย ซ้างมาฮ้างดอกห่างกัน อ้ายเอ้ย . อ้าย 

รำไทพวน 
โอ้น้อ .. มื้อนี้แม้ เลิศล้ำ มือประเสริฐ ดีงาม เฮาจึงมีเวลาพบกัน คราวนี้ โอกาสดีนำได้ เดินทางมาต่านกล่าว ถามขาวข่าวพี่น้องทางพี่ผู้สู่คน พี่น้องเอยโอ้น้อ .. ยามเมือมาพบพ้อ แสนชื่นสมใจ พี่น้องเอย พอสร้างไขวาจาสิ่งใดมาเว้า เฮือมขอเอามือน้อมประนมกรละต้านต่อ ขอขอบใจพี่น้องทางพี่ผู้สู้คน พี่น้องเอย 
โอ้นอ .. เฮานี่แม้ ชาติเชื้อสาวเผ่าไทพวน พี่น้องเอยเนาอยู่เมืองเชียงขวางประเทศลาว ทางโพ้นกับทางโขงพันเกือบบงบานพะนาหย้า พากันเนาคึกส่างทางพู้นสู่คน พี่น้องเอยโอ้น้อ .. เฮานี่แม้ ชาติเชื้อสายเลือดเดียวกัน พี่น้องเอย มีหลายอันคือกันจ่อต่างกันบ่อน้อย คอยล่ำแลสีหน้าอาภรณ์ ทุกสิ่งอย่างทุกข้าวทางปากเว้าเสมอด้ามดั้งเดียวกันนั่นแหล่วโอ้น้อ .. ที่มีกาลหาบตอน ยังก้มเกียรติจบงาม การอยู่กินไปมาสะดวกดีทันด้านสมว่าเป็นเมืองบ้านเฮือนเคียงของน้องพี่ เฮียบได๋เนาที่นี่เสมอบ้านแคบตน พี่น้องเอยโอ้น้อ .. มาถึงตอนชายนี้ เนี่ยมก็กล่าวอวยพร ขอวิงวอนคุณครู พระธรรมองค์เจ้า ขอให้มานำเข้าบันดาล และอยู่ส่ง ขอให้บ่งพี่น้อง อายุหมั่นหมื่นปี เว้ามาฮอนบอนนี้นางขออวยลาลง ขอขอบใจโคงสายโง้ง ลุง อ่าว ป้า ที่ได้อดสาเยินฟังเฮา น้องต้านกล่าว หวังว่าคราวหน้าพ้นคงสิได้พบกันพี่น้องเอย ลา .. ลงท้อนั้น .. แหล่ว 

วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ประเพณีลงข่วงภูไท

         ประเพณีลงข่วง คือเมื่อคนภูไทเสร็จจากงานตอนกลางวัน สาวภูไทจะมีอาชีพหนึ่งที่สาวภูไททุกคนต้องทำนั้นก็คือการท่อผ้า  โดยสาวภูไทก็จะมานั่งปั่นฝ้าย ดีดฝ้าย ฯลฯ ที่ลานหน้าบ้านเป็นกลุ่มๆ ในช่วงกลางคืน  มีการก่อไฟให้แสงสว่าง พูดคุยกันสนุกสนาน  ช่วงนี้จะมีหนุ่ม ๆ แวะเวียนมาเพื่อเกี้ยวสาว  โดยจะมาเป็นกลุ่มๆ โดยบางกลุ่มที่มีคนเล่นดนตรีได้ ก็จะมีการเล่นดนตรี เป่าแคนเดินนำหน้ามาเป็นกระบวนและถ้ามีคนลำภูไทได้ก็จะลำด้วย  ฝ่ายชายจะเริ่มพูดเกี้ยวก่อนและก็จะตอบกลับด้วยความสนุกสนาน  บางคนที่มีความสามารถเรื่องพญาก็ใช้พญาในการเกี้ยวสาว เป็นการทำความรู้จักมักคุ้นกัน  เมื่อพออกพอใจกัน ฝ่ายชายก็จะไปสู่ขอฝ่ายหญิงตามประเพณี


วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

การละเล่นพื้นบ้าน

วิ่งขาโถกเถก

     ลักษณะการเล่นคือจะมีไม้ไผ่ 2 ลำเท่าๆกัน โดยมีขนาดพอดีมือจับได้และกิ่งแตกออกมาพอที่จะขึ้นไปยืนแล้วไม่หักออกมาโดยเหลือไว้ลำละ 1 กิ่ง  เพื่อใช้ยืนโดยตัดให้มีความสูงเท่าๆกันดังภาพด้านบน หรือถ้ากิ่งไม้ไผ่แข็งแรงไม่พอก็อาจจะใช้การเจาะรูไม้ไผ่แล้วสอดไม้เข้าไปเป็นที่ยืนแทน  การเล่นก็คือขึ้นไปยืนแล้วเดินไปโดยห้ามตาก  มักจะเล่นเดินแข่งกันไม่ให้ตกและต้องเร็วด้วย


วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

พิธีบายศรีสู่ขวัญ

พิธีบายศรีสู่ขวัญชาวภูไท เป็นพิธีที่สร้างขวัญกำลังใจและอวยพรให้อยู่เย็นเป็นสุข มีอายุมั่น ขวัญยืน มีความเจริญก้าวหน้า ประสบโชคชัย เครื่องพาขวัญ ประกอบด้วยขันหมากเบ็ง(บายศรี) ที่ประดับด้วยดอกไม้ธูปเทียน ข้าวเหนียวนึ่งสุรากลั่น ไข่ไก่ต้ม ไก่ต้มทั้งตัว หรือหมูต้ม ด้ายผูกข้อมือ โดยมีหมอสู่ขวัญเป็นผู้ทำพิธี





วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ภาษาพูดของชาวภูไท

ภาษาภูไท
ความหมาย
เอ็ดเผออยู่
ยู่ซิเลอ
เผออิ้
เจ้าคือขี้ค้านแท๊ะ
ยู่ซือซื้อ
ญาเว้าสีซะ
เจ๋อมิสู้
เป๋นแนวเล่อ
คือยู่บ่
มากิ๋นเข้านัมเด๋ว
ไป๋นัมเด๋ว
โซเด๋วไป๋เผอ
เว้าเผอเด๋ว
ซัมบายดีบ่
ญาเอ็ด
มิได่
แม้นบ่
จักเอ็ดแนวเลอ
มาทะแม๊
มาเอ็ดเผอ
มาโลด
ยู่ซิเลอ
คือเว้าดั๋งแท๊ะ
คือเว้าหลายแท๊ะ
ทำอะไรอยู่
อยู่ไหน
อะไรอีก
คุณทำไมขี้เกียจจัง
อยู่เฉยๆ
อย่าพูดเกินไป
ใจไม่สู้
เป็นอย่างไร
เหมือนหรือเปล่า
มากินข้าวด้วยกัน
ไปด้วยกัน
ชวนกันไปไหน
พูดอะไรกัน
สบายดีไหม
ไม่ต้องทำ
ไม่ล่ะ
ใช่หรือเปล่า
ไม่รู้จะทำอย่างไร
มาซะที
มาทำไม
มาเถอะ
อยู่ที่ไหน
ทำไมถึงพูดเสียงดังจัง
ทำไมพูดมากจัง

วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2558

ประเพณีเลี้ยงผี

 




     ทุกวันนี้ การเหยาเพื่อการรักษาอาการเจ็บป่วยที่เชื่อว่าถูกกระทำเพราะการผิดผี ยังมีให้เห็นอยู่ในชุมชนผู้ไทหรือภูไท  ทีมงานพันแสงรุ้งเดินทางไปสังเกตการณ์พิธีเหยารักษาและพิธีเลี้ยงผีหมอเหยาประจำปีของคนผู้ไทที่บ้านโนนยาง อ.หนองสูง จ. มุกดาหาร  ซึ่งเป็นชุมชนผู้ไทที่ยังเคารพในอำนาจเหนือธรรมชาติหรือพลังของผีอย่างเหนียวแน่น  



          ทั้งสองพิธีกรรมนี้ นอกจากจะสะท้อนเรื่องความเชื่อต่อผีอย่างเคร่งครัดแล้ว  ยังมีมุมมองที่น่าสนใจว่า พิธีกรรม ยังมีบทบาทต่อความสัมพันธ์ของผู้คนในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกำหนดบทบาท หน้าที่ และการเชื่อมโยงของคนหลากหลายวัยในชุมชน  และเป็นการบันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ผ่านการแสดงออกในพิธีกรรม   



 

วันเสาร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2558

ฟ้อนภูไท


     การฟ้อนภูไท ถือได้ว่าเป็นศิลปวัฒนธรรมที่ชาวภูไทสืบทอดกันมาเป็นเวลาช้านานและมีความงดงามและมีเอกลักษณ์ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องที่ชนรุ่นหลังควรที่จะอนุรักษ์ไว้ให้เป็นเป็นมรดกทางวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ของชาวอีสานและของชาวไทยสืบต่อไป




ฟ้อนภูไท



กลุ่มผู้สูงอายุซ้อมฟ้อนภูไท

วันอาทิตย์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2558

งานประเพณีภูไทรำลึก



งานประเพณีภูไทรำลึก เป็นงานประเพณีของชาวภูไทวาริชภูมิ ที่ถือปฏิบัติกันมาเป็นประจำทุกปี ซึ่งชาวภูไทมีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง เช่น วัฒนธรรมการแต่งกายภูไทถิ่น วัฒนธรรมการนับถือหลักเมือง เจ้าปู่มเหสักข์
นอกจากนี้ในงานจัดให้มีการฟ้อนรำถวายเจ้าปู่มเหสักข์โดยผู้ที่มาร่วมงานจะแต่งตัวในชุดท้องถิ่นภูไท เมื่อถึงวันประเพณีภูไทรำลึก ลูกหลานชาววาริชภูมิที่ย้ายถิ่นฐาน หรือไปทำงานต่างจังหวัด จะเดินทางกลับมาร่วมงานทุกปี เป็นการแสดงถึงการสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีของชาวภูไทวาริชภูมิ ตลอดมา ดังนั้น ในการจัดงานวันภูไทรำลึกเพื่อเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรม ประเพณีอันดีงามของชาวภูไทวาริชภูมิ และเพื่อเป็นการส่งเสริมให้เด็ก เยาวชน ประชาชน ได้ตระหนัก เห็นคุณค่า ของศิลปวัฒนธรรมประเพณีของชาวภูไทเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย และเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวในท้องถิ่น เพื่อช่วยกันอนุรักษ์วัฒนธรรม ประเพณีให้คงอยู่สืบไป 

วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2558

ประเพณีการทอดกฐิน


แห่กฐินอีสานไทเฮา


การทอดกฐิน เป็นประเพณีที่สำคัญของพุทธศาสนิกชนอย่างหนึ่ง นิยมทำกันตั้งแต่วันแรมหนึ่งค่ำเดือนสิบเอ็ด ไปจนถึงกลางเดือนสิบสอง

การทอดกฐินเป็นบุญที่มีอานิสงส์มหาศาล
         บุญจากการทอดกฐินเป็นบุญพิเศษ ที่ทำได้ยากกว่าบุญอื่น ด้วยสาเหตุหลายประการ ดังนี้ คือ

การทำบุญทอดกฐิน เป็นบุญที่ถูกจำกัดด้วยไทยธรรม กล่าวคือ ของที่ถวาย
ต้องเป็นผ้าผืนใดผืนหนึ่งในจำนวนไตรจีวรเท่านั้น
1.) จำกัดด้วยเวลา คือต้องถวายภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันออกพรรษา
2.)จำกัดชนิดทาน คือ ต้องถวายเป็นสังฆทานเท่านั้น จะถวายเจาะจงภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเหมือนทานอื่นไม่ได้
3.)จำกัดคราว คือ แต่ละวัดรับกฐินได้เพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น
4.)จำกัดผู้รับ คือ พระภิกษุรับกฐินได้จะต้องจำพรรษาที่วัดนั้นครบไตรมาส (เดือน) และจะต้องมีจำนวนตั้งแต่ 5 รูปขึ้นไป
5.)จำกัดงาน คือ เมื่อพระภิกษุรับผ้ากฐินแล้ว จะต้องกรานกฐินให้เสร็จภายในวันนั้น
6.)จำกัดของถวาย คือ ไทยธรรมที่ถวายต้องเป็นผ้าผืนใดผืนหนึ่งในไตรจีวรเท่านั้น โดยทั่วไปนิยมใช้สังฆาฏิ ไทยธรรมอื่นจัดเป็นบริวารกฐิน เกิดจากพุทธประสงค์ พระสัมมาสัมมาพุทธเจ้าทรงมีพุทธานุญาตให้พระภิกษุสงฆ์รับผ้ากฐินเพื่อพลัดเปลี่ยนไตรจีวรเก่า แต่ทานอย่างอื่นทายกทูลขอให้อนุญาต เช่น มหาอุบาสิกาวิสาขาทูลขออนุญาต ถวายผ้าอาบน้ำฝน


การทอดกฐิน และประเพณีทอดกฐิน 
 ผ้ากฐิน โดยความหมายก็คือผ้าสำเร็จรูปโดยอาศัยไม้สะดึง นิยมเรียกกันจนปัจจุบันนี้
การทอดกฐิน คือ การนำผ้ากฐินไปวางไว้ต่อหน้าพระสงฆ์อย่างต่ำ 5 รูป แล้วให้พระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่งที่ได้รับมอบหมาย จากคณะสงฆ์ทั้งนั้นเป็นเอกฉันท์ให้เป็นผู้รับกฐินนั้น
เขตกำหนดทอดกฐิน
       การทอดกฐินเป็นกาลทาน ตามพระวินัยกำหนดกาลไว้ คือ ตั้งแต่แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใส ใคร่จะทอดกฐิน ก็ให้ทอดได้ในระหว่างระยะเวลานี้ จะทอดก่อนหรือทอดหลังกำหนดนี้ ไม่จัดเป็นการทอดกฐิน
แต่มีข้อยกเว้นพิเศษว่า ถ้าทายกผู้จะทอดกฐินนั้น มีกิจจำเป็น เช่น จะต้องไปในทัพ ไม่สามารถจะอยู่ทอดกฐินตามกำหนดนั้นได้ จะทอดกฐินก่อนกำหนดดังกล่าวแล้วพระสัมมาสัมพุทธะ ทรงอนุญาตให้ภิกษุรับไว้ก่อนได้
       นอกจากนี้การทอดกฐินยังเป็นทานที่พิเศษ คือ ทั้งพระภิกษุและญาติโยมผู้ทอดกฐินได้อานิสงส์ด้วยกัน การทอดกฐินจึงเป็นบุญใหญ่ ที่ผู้ให้ (คฤหัสถ์) และผู้รับ (พระภิกษุสงฆ์) ต่างก็ได้บุญทั้ง 2 ฝ่าย