วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2558

   เส้นทางอพยพของชาวผู้ไทย

   เส้นทางอพยพของชาวผู้ไทย แบ่งเป็น 3 ลักษณะ คือ
    1.       เส้นทางเมืองเว้ หรือเรณู คำชะอี หนองสูง
    2.       เส้นทางที่ต่อจากเรณูแต่เลยไปทางตะวันตก ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่สหัสขันธ์ และอำเภอเขาวงกาฬสินธุ์ในปัจจุบัน
    3.       ยังไม่สันนิษฐานได้ว่าแยกมาจากเส้นทางที่ 1 หรือเส้นทางที่ 2 แต่มาตั้งที่วาริชภูมิ เมืองจำปา (บ้านนาเหมือง อำเภอพังโคน) บ้านม่วงโพนไค (อ.บ้านม่วง สกลนคร)
        ความเชื่อทางศาสนาของชาวผู้ไทย เป็นความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งเหนือธรรมชาติ เช่น เชื่อภูตผีวิญญาณที่ทำให้ป่วยไข้ เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ เชื่อหลักพุทธศาสนา เช่น การทำบุญตักบาตร ความเชื่อคติพราหมณ์แบบชาวบ้าน
      พิธีกรรมกับศาสนาของชาวผู้ไทย ความแตกต่างของพิธีกรรมขึ้นอยู่กับประเภทของผีแต่ละชนิด ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประเภท
    1.       ผีฟ้าหรือเทวดา
    2.       ผีเจ้าหรือเจ้าผี
    3.       ผีเลวหรือผีสัญญา เช่น ผีบรรพบุรุษหรือผีปู่ตา ผีตระกูล ผีเรือน
       ความเชื่อเรื่องผีมเหสักข์ของชาวผู้ไทย พรรณานิคม เรียกผีเจ้าปู่ บางคนเรียกเจ้าหาญแดงจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในวันขึ้น 19 ค่ำ เดือน 4 โดยนำข้าวปลาอาหาร ซึ่งนิยมอาหารคาวเลือด ชาวบ้านจึงนำควายไปฆ่าที่ป่าหน้าศาล แล้วทำลาบพร้อมใส่เลือดสด ๆ ผสมคลุกข้าว จัด 8 สำรับ ไปถวาย และขาดไม่ได้คือเหล้า โดยมีผู้ทำพิธีกรรมที่เริ่มด้วยพิธีกร คือ จ้ำ หรือกวานจ้ำ
       ความเชื่อเรื่องผีนา คือ ผีที่อยู่ตามทุ่งนาเพื่อคุ้มครอง จะเริ่มทำพิธีกรรมนี้ในต้นฤดูฝนก่อนการไถคราด พิธีบูชาทำง่าย ๆ คือ นำข้าวปลาอาหารใส่กระทง รวมทั้งดอกไม้ ธูปเทียน พิธีนี้เรียกว่า เลี้ยงผีตาแฮก หรือเลี้ยงผีครั้งแรก


    ความเชื่อเรื่องผีเรือน คือ ผีของบรรพบุรุษ ผีลูกหลานที่เคยอยู่ในบ้านเรือนหรือไม่ได้อยู่บ้านเรือน ที่ล่วงลับไปแล้ว ดังนั้นผีเรือนจึงมีหลายตน เช่น ผีอารักษ์ใหญ่ หรือผีเจ้าที่เจ้าทาง ผีปู่หรือผีตระกูล เป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดเจ้าของบ้านมากที่สุด และเป็นใหญ่อยู่ในบ้านเรือน ความเจ็บป่วยและการรักษาพยาบาล ความเชื่อทางไสยศาสตร์ เซอร์ เจมส์ เฟรเซอร์ เป็นคนแรกที่ศึกษาเรื่องไสยศาสตร์กับการรักษาคนไข้ วิธีการรักษาจะต้องแก้ด้วยผู้มีอำนาจเหนือธรรมชาติจะเกิดจากผู้ที่ใช้ คือ หมอผี ไม่ใช่รักษาด้วยสมุนไพร หรือยาตำราหลวง และยังมีความเชื่อที่ว่าอาจจะเกิดการจากผู้ที่ใช้คาถาอาคม

วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2558

ประวัติความเป็นมาของบุญบั้งไฟ


       ประเพณีบุญบั้งไฟ เป็นประเพณีหนึ่งของภาคอีสานของไทยรวมไปถึงลาว โดยมีตำนานมาจากนิทานพื้นบ้านของภาคอีสานเรื่องพระยาคันคาก เรื่องผาแดงนางไอ่ ซึ่งในนิทางพื้นบ้านดังกล่าวได้กล่าวถึง การที่ชาวบ้านได้จัดงานบุญบั้งไฟขึ้นเพื่อเป็นการบูชา พระยาแถน หรือเทพวัสสกาลเทพบุตร ซึ่ง ชาวบ้านมีความเชื่อว่า พระยาแถนมีหน้าที่คอยดูแลให้ฝนตกถูกต้องตามฤดูกาล และมีความชื่นชอบไฟเป็นอย่างมาก หากหมู่บ้านใดไม่จัดทำการจัดงานบุญบั้งไฟบูชา ฝนก็จะไม่ตกถูกต้องตามฤดูกาล อาจก่อให้เกิดภัยพิบัติกับหมู่บ้านได้ ช่วงเวลาของประเพณีบุญบั้งไฟคือเดือนหกหรือพฤษภาคมของทุกปี

       ประเพณีบุญบั้งไฟมีมาแต่ครั้งไหนยังหาหลักฐานที่แน่ชัด มีข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับความเป็นมาของประเพณีบุญบั้งไฟในแง่ต่างๆ ไว้ดังนี้

ความเชื่อของชาวบ้านกับประเพณีบุญบั้งไฟ
        ชาวบ้านเชื่อว่ามีโลกมนุษย์ โลกเทวดา และโลกเทวดา มนุษย์อยู่ใต้อิทธิพลของเทวดา การรำผีฟ้าเป็นตัวอย่างที่แสดงออกทางด้านการนับถือเทวดา และเรียกเทวดาว่า แถนเมื่อถือว่ามีแถนก็ถือว่า ฝน ฟ้า ลม เป็นอิทธิพลของแถน หากทำให้แถนโปรดปราน มนุษย์ก็จะมีความสุข ดังนั้นจึงมีพิธีบูชาแถน การจุดบั้งไฟก็อาจเป็นอีกวิธีหนึ่งที่แสดงความเคารพหรือส่งสัญญาณความภักดีไปยังแถน ชาวอีสานจำนวนมากเชื่อว่าการจุดบั้งไฟเป็นการขอฝนจากพญาแถน และมีนิทานปรัมปราเช่นนี้อยู่ทั่วไป แต่ความเชื่อนี้ยังไม่พบหลักฐานที่แน่นอน นอกจากนี้ในวรรณกรรมอีสานยังมีความเชื่ออย่างหนึ่งคือ เรื่องพญาคันคาก หรือคางคก พญาคันคากได้รบกับพญาแถนจนชนะแล้วให้พญาแถนบันดาลฝนลงมาตกยังโลกมนุษย์


วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2558

ฟ้อนละคอน

          ชาวภูไทบ้านโพน มีศิลปะการฟ้อนรำที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะในแบบชาวบ้านดั้งเดิม และมีการสืบทอด จนเกิดเป็นพัฒนาการมาจนถึงปัจจุบันอยู่ 2 ชุดด้วยกัน คือ ฟ้อนละคอนภูไท และฟ้อนภูไท ศิลปะการฟ้อนทั้ง 2 ชุด เป็นการฟ้อนที่เกิดขึ้นในชุมชนบ้านโพน และปัจจุบันยังมีการอนุรักษ์การฟ้อนอย่างต่อเนื่อง โดยมีการฟ้อนในงานบุญบั้งไฟ หรืองานพิธีการที่สำคัญ ซึ่งมีบทบาทในการสร้างชื่อเสียงให้กับชุมชน และสังคมเป็นอย่างมาก

         ฟ้อนละคอน(ละคร)
         ฟ้อนละคอน(ละคร)ภูไทบ้านโพน มีลักษณะการฟ้อนที่แตกต่างจากฟ้อนละครของชาวภูไทในถิ่นอื่นๆ เนื่องจากเป็นการฟ้อนในรูปแบบขบวนและเดินฟ้อนไปเรื่อยๆ ที่มีการสวมเล็บแบบฟ้อนกลองตุ้มหรือเซิ้งบั้งไฟ ซึ่งฟ้อนละคอนของชาวภูไทในถิ่นอื่นๆ จะฟ้อนโดยไม่สวมเล็บ และเป็นการฟ้อนเป็นวงไม่ขยับหรือเคลื่อนวงออกไปไหน เป็นการวาดลีลาการฟ้อนของชายหนุ่มเป็นสำคัญ

   ท่าฟ้อนมีแบบแผนที่ชัดเจน ซึ่งมี 5 ท่าประกอบด้วย
ท่าเดิน
ท่าฟ้อนข้าง
ท่าไกวมือสูง
ท่าหมุนตัว

ท่าลง

เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดง
           1.ฉาบเล็ก         2.โปงลาง                 3.พิณอีสาน    
           4.แคน              5.โหวด                    6.เบส              
           7.กลองตุ้ม       8.กลองยาวอีสาน     9.เกราะ

วันอังคารที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2558

ข้าวฮาง


ข้าวฮางเป็นข้าวที่ทำมาจากข้าวที่ยังไม่แก่จัดนำมานึ่งและนำไปตากแดดให้แห้งแล้วจึงนำไปสี


          หากจะพูดถึง 'ข้าวฮาง' บางคนอาจจะส่ายหัวไม่รู้จัก หากพูดว่า'ข้าวหอมทอง' หลายคนพอได้ยินคงนึกหิวขึ้นมาทันใด ข้าวฮางเขามีกรรมวิธีการผลิตที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย น่าสนใจเพียงไร อรการ กาคำ ลงพื้นที่บ้านนาบ่อ ทำความรู้จักกับข้าวฮางภูมิปัญญาชาวภูไทกระป๋อง กลิ่นหอมตลบอบอวลของข้าวหอมทอง หรือข้าวฮางของชาวภูไทกระป๋อง ฟุ้งกระจายทั่วบริเวณศูนย์ทำการของกลุ่มแม่บ้าน บ้านนาบ่อ ทั้งที่ยังไม่ทันได้ก้าวเดินผ่านธรณีประตูด้วยซ้ำ นับว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีโอกาสได้สัมผัสกับข้าวหอมทองใกล้ๆ หลังจากได้ยินชื่อมานาน ภาพที่เห็นเบื้องหน้า กลุ่มแม่บ้านขะมักเขม้นกับการหุงข้าวเปลือก จากเตาที่มีแกลบเป็นเชื้อเพลิง ควันโขมง บ้างก็กำลังคัดเมล็ดข้าวเพื่อกรองครั้งสุดท้ายก่อนนำไปบรรจุถุง หรือขวดเพื่อเตรียมจำหน่าย แม่เฒ่าคนหนึ่งนั่งจี่ข้าวฮาง หอมฉุยจนเราต้องขอมาหม่ำสักก้อนสองก้อน ก่อนจะเข้าไปเปิบแกงหวายที่ชาวภูไทบ้านนาบ่อ เตรียมไว้รอผู้มาเยือนอย่างเรา พร้อมทั้งหุงข้าวฮางเม็ดอ้วนๆ เต็มกระติ๊บใบยักษ์ เปิบไปสัมภาษณ์กันไปได้บรรยากาศเป็นยิ่งนัก ตำนานเก่าแก่ตำรับภูไทเล่าขานกันมาว่า 200 ปีที่แล้ว ท้าวผาอิน จะอพยพมาอยู่บ้านนาบ่อ ท่านมีลูกหลายคน ก็มาเลี้ยงวัวเลี้ยงควายทำไร่ทำนา ข้าวไม่พอกิน เหลือเวลาอีกตั้งหนึ่งเดือนก่อนถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยว ก็เลยเกี่ยวข้าวที่ใกล้จะสุกมาหมักแล้วกลายเป็นต้นตำรับของ 'ข้าวฮาง'นับแต่นั้น ท้าวผาอินมีข้าวนึ่งให้ลูกกิน วิธีนี้ทำให้ข้าวสาร 12 กิโล สีแล้วได้ข้าว 8 กิโลกรัม หุงขึ้นหม้อ ได้ปริมาณเยอะขึ้นอีกต่างหาก ปกติแล้วข้าว 12 กิโลกรัม เมื่อสีแล้วจะเหลือ 7 กิโลกรัม เท่านั้น หุงขึ้นหม้อแต่ไม่เท่ากับข้าวฮางขึ้นหม้อและนุ่มอร่อยลิ้นกว่า กรรมวิธีการทำข้าวฮาง ก็คือเขาจะนำข้าวหอมทองมะลิ 

วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2558

รำภูไท 3 เผ่า

เผ่าที่ 1 (เผ่าสกลนคร)
ไปเย้อไปไปโห่เอาชัยเอ้าสอง(ซ้ำ) ไปโฮมพี่โฮมน้องไปช่วยแซ่ซ้องอวยชัย 
เชิงเขาแสนจนหนทางก็ลำบาก(ซ้ำ) ตัวข้อยสู้ทนยากมาฟ้อนรำให้ท่านชม 

เผ่าที่ 2 (เผ่ากาฬสินธุ์)
โอ้ยน้อ ละบ่าวภูไทเอย ชายเอยอ้ายได้ยินบ่อเสียงน้อง 
คองน้ำตาเอ้นมาใส่ สาวภูไทไห้สะอื้น 
มายืนเอิ้นใส่พี่ชายอ้ายเอ้ย... อ้ายเอย 
ชายเอยเห็นว่าสาวภูไทน้อง อยู่บ้านป่านาดอน 
หากินหมูกินแลน หมู่กระแตดอกเหนอ้ม 
ซางมาตั๋วให้นางล้ม โคมหนามแล้วถิ่มปล่อย 
ทำสัญญากันเรียบร้อย ซ้างมาฮ้างดอกห่างกัน อ้ายเอ้ย . อ้าย 

รำไทพวน 
โอ้น้อ .. มื้อนี้แม้ เลิศล้ำ มือประเสริฐ ดีงาม เฮาจึงมีเวลาพบกัน คราวนี้ โอกาสดีนำได้ เดินทางมาต่านกล่าว ถามขาวข่าวพี่น้องทางพี่ผู้สู่คน พี่น้องเอยโอ้น้อ .. ยามเมือมาพบพ้อ แสนชื่นสมใจ พี่น้องเอย พอสร้างไขวาจาสิ่งใดมาเว้า เฮือมขอเอามือน้อมประนมกรละต้านต่อ ขอขอบใจพี่น้องทางพี่ผู้สู้คน พี่น้องเอย 
โอ้นอ .. เฮานี่แม้ ชาติเชื้อสาวเผ่าไทพวน พี่น้องเอยเนาอยู่เมืองเชียงขวางประเทศลาว ทางโพ้นกับทางโขงพันเกือบบงบานพะนาหย้า พากันเนาคึกส่างทางพู้นสู่คน พี่น้องเอยโอ้น้อ .. เฮานี่แม้ ชาติเชื้อสายเลือดเดียวกัน พี่น้องเอย มีหลายอันคือกันจ่อต่างกันบ่อน้อย คอยล่ำแลสีหน้าอาภรณ์ ทุกสิ่งอย่างทุกข้าวทางปากเว้าเสมอด้ามดั้งเดียวกันนั่นแหล่วโอ้น้อ .. ที่มีกาลหาบตอน ยังก้มเกียรติจบงาม การอยู่กินไปมาสะดวกดีทันด้านสมว่าเป็นเมืองบ้านเฮือนเคียงของน้องพี่ เฮียบได๋เนาที่นี่เสมอบ้านแคบตน พี่น้องเอยโอ้น้อ .. มาถึงตอนชายนี้ เนี่ยมก็กล่าวอวยพร ขอวิงวอนคุณครู พระธรรมองค์เจ้า ขอให้มานำเข้าบันดาล และอยู่ส่ง ขอให้บ่งพี่น้อง อายุหมั่นหมื่นปี เว้ามาฮอนบอนนี้นางขออวยลาลง ขอขอบใจโคงสายโง้ง ลุง อ่าว ป้า ที่ได้อดสาเยินฟังเฮา น้องต้านกล่าว หวังว่าคราวหน้าพ้นคงสิได้พบกันพี่น้องเอย ลา .. ลงท้อนั้น .. แหล่ว